1. เพื่อให้นักเรียนสามารถกำหนดปัญหาของการทดลองได้
2. เพื่อให้นักเรียนสามารถตั้งสมมุติฐานจากปัญหาที่กำหนดได้
3. เพื่อให้นักเรียนสามารถทดลองและสรุปผลเกี่ยวกับการแพร่ของสารได้
4. เพื่อให้นักเรียนสามารถบอกความหมายของการแพร่ของสารได้
5. เพื่อให้นักเรียนสามารถอธิบายหลักการแพร่ได้
1. เกล็ดด่างทับทิม
(โพแทสเซียมเปอร์แมงกาเนต) 3 - 4 เกล็ด
|
2. บิกเกอร์ขนาด 250 cm3 1 ใบ
|
3. น้ำกลั่น 100 cm3
|
1. ใส่น้ำกลั่นลงในบิกเกอร์ขนาด 250 cm3 ปริมาตร 100 cm3
2. ใส่เกล็ดด่างทับทิม 3 - 4 เกล็ดลงในน้ำกลั่น สังเกตและบันทึกผล
3. สังเกตสีของน้ำกลั่นหลังจากใส่เกล็ดด่างทับทิมแล้วทุกนาที เป็นเวลา 5 นาที แล้วบันทึกผล
ผลการทดลองที่ได้ คือ
เวลา (นาที) |
การเปลี่ยนแปลงสีของน้ำ หลังใส่เกล็ดด่างทับทิม |
เริ่มทดลอง |
ไม่มีสี |
1 |
เริ่มมีสีชมพูอ่อนๆ |
2 |
สีชมพูเข้มขึ้น |
3 |
สีชมพูเข้มขึ้น |
4 |
สีชมพูเข้มขึ้น |
5 |
สีชมพูเหมือนกับสีของเกล็ดด่างทับทิม |
สรุปได้ว่า
การกระจายของอนุภาคของด่างทับทิม หรือสารจากที่มีความเข้มข้นของอนุภาคสารมาก ไปสู่สารที่มีความเข้มข้นของอนุภาคสารน้อย จนกระทั่งอนุภาคของสารบริเวณทั้งสองมีความเข้มข้นเท่ากัน โดยการกระจายของอนุภาคของอนุภาคสารมีทิศทางที่ไม่แน่นอน เรียกการกระจายนี้ว่า "การแพร่ (Diffusion)"
1. บิกเกอร์ขนาด 100 cm3 1 ใบ
|
2. น้ำ 30 cm3
|
3. ช้อนตักสารเบอร์ 1 1 อัน
|
4. โพแทสเซียมเปอร์แมงกาเนต (ด่างทับทิม) 10 เกล็ด
|
1. ใส่น้ำจำนวน 30 cm3 ลงในบิกเกอร์ขนาด 100 cm3
2. ค่อยๆ หย่อนเกล็ดโพแทสเซียมเปอร์แมงกาเนตหรือด่างทับทิม ซึ่งมีสีม่วงดำจำนวน 2 - 3 เกล็ด ลงในน้ำโดยไม่ขยับบิกเกอร์
3. ใช้กระดาษขาวบังด้านหลังของบิกเกอร์ สังเกตการเปลี่ยนแปลงตั้งแต่เกล็ดด่างทับทิมตกลงไปในน้ำจนกระทั่งเวลาผ่านไปประมาณ 5 นาที แล้วบันทึกผล
ผลการทดลองที่ได้ คือ
ช่วงเวลาที่สังเกต |
ลักษณะการเปลี่ยนแปลงสีของด่างทับทิมในน้ำ |
ในวินาทีแรก |
เกล็ดโพแทสเซียมเปอร์แมงกาเนตบางส่วนเริ่มละลาย
เห็นเป็นทางสีม่วง |
ผ่านไป 5 นาที |
เกล็ดละลายน้ำทำให้บริเวณรอบๆ มีสีม่วง เกล็ดเป็นสีม่วงเข้ม และเมื่อทิ้งไว้จะเห็นสีม่วงกระจายไปทั่วทั้งบิกเกอร์ |
สรุปได้ว่า อนุภาคของสารมีการกระจายจากที่ซึ่งมีความเข้มข้นของอนุภาคของสารมาก ไปสู่ที่ซึ่งมีความเข้มข้นของอนุภาคน้อยกว่า เรียกปรากฏการณ์นี้ว่า "การแพร่"
1. น้ำ 30 cm3
|
2. สารละลายน้ำตาลเข้มข้น 40% 30 cm3
|
3. น้ำหมึกแดง 10 cm3
|
4. ยางรัด 2 เส้น
|
5. กระดาษแก้วใสไม่มีสี
ขนาด 15 cm. x 15 cm. 1 แผ่น
|
6. หลอดแก้วขนาดเส้นผ่าน
ศูนย์กลาง
0.5 cm. ยาว 20 cm. 1 อัน
|
7. กล่องพลาสติกเบอร์ 11 ใบ |
8. บิกเกอร์ขนาด 100 cm3 1 ใบ |
9. หลอดฉีดยาขนาด 30 cm. 1 อัน |
10. ขาตั้งพร้อมที่จับ 1 ชุด
|
11. ดินสอเขียนแก้ว 1 แท่ง
|
|
1. ใช้กระดาษแก้วใสหรือเซลโลเฟนที่เตรียมมาชุบน้ำให้เปียก วางบนกล่องพลาสติกเบอร์ 1 ดังรูป แล้วใส่สารละลายน้ำตาลเข้มข้นร้อยละ 40 จำนวน 30 ลูกบาศก์เซนติเมตร แล้วรวบให้เป็นถุง
2. จุ่มหลอดแก้วขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 0.5 เซนติเมตร ลงไปในถุงลึกประมาณ 3 เซนติเมตร ผูกปากถุงและหลอดแก้วให้แน่น โดยไม่ให้มีฟองอากาศทั้งในถุงและในหลอดแก้ว
3. จุ่มถุงสารละลายน้ำตาลลงในบิกเกอร์ หรือกล่องพลาสติกที่มีน้ำบรรจุอยู่โดยให้ตำแหน่งที่รัดปากถุงอยู่เหนือระดับน้ำเล็กน้อย แล้วยึดหลอดแก้วด้วยที่จับหลอดทดลองติดไว้ กับขาตั้ง
4. ทำเครื่องหมายแสดงระดับน้ำในหลอดแก้วไว้จากนั้นสังเกตการเปลี่ยนแปลงต่อไปประมาณ 5 นาที แล้วบันทึกผลการสังเกต
5. ดำเนินการทดลองเช่นเดียวกับข้อ 1 - 4 แต่เปลี่ยนน้ำในบิกเกอร์เป็นน้ำหมึกสีแดง
ผลการทดลองที่ได้ คือ
ของเหลวที่ใช้แช่
ถุงสารละลายน้ำตาลทราย |
การเปลี่ยนแปลงที่สังเกตได้ |
น้ำ |
ระดับของเหลวในหลอดแก้วสูงขึ้น |
น้ำหมึกแดง |
ระดับของเหลวในหลอดแก้วสูงขึ้นและของเหลวในถุงเซลโลเฟนมีสีแดง |
สรุปได้ว่า โมเลกุลของน้ำในสารละลายน้ำตาลเจือจาง แพร่ผ่านกระดาษเซลโลเฟนเข้าสู่สารละลายน้ำตาลเข้มข้น โดยอาศัยกระบวนการออสโมซิส
|