<< Go Back

   

คอมพิวเตอร์ คือ เครื่องคำนวณอิเล็กทรอนิกส์ที่มีการทำงานแบบอัตโนมัติ ทำหน้าที่เหมือนสมองกล สามารถแก้ปัญหาต่างๆ ทั้งที่ง่าย และซับซ้อนตามคำสั่งของโปรแกรม ขั้นตอนการทำงานจะประกอบด้วย การรับโปรแกรมและข้อมูลในรูปแบบที่เครื่องสามารถรับได้ แล้วทำการคำนวณ เคลื่อนย้ายเปรียบเทียบ จนกระทั่งได้ผลลัพธ์ตามที่ต้องการ ลักษณะการทำงานของส่วนต่างๆ ที่มีความสัมพันธ์กัน เป็นกระบวนการ โดยมีองค์ประกอบพื้นฐานหลักคือ Input Process และ output ซึ่งมีขั้นตอนการทำงานดังภาพ

1. รับข้อมูลเข้า (Input) การนำข้อมูลเข้าเครื่องคอมพิวเตอร์ ซึ่งสามารถผ่านทางอุปกรณ์ชนิดต่างๆ แล้วแต่ชนิดของข้อมูลที่จะป้อนเข้าไป เช่น ถ้าเป็นการพิมพ์ข้อมูลจะใช้แผงแป้นพิมพ์ (Keyboard) เพื่อพิมพ์ข้อความหรือโปรแกรมเข้าเครื่องถ้าเป็นการเขียนภาพ จะใช้เครื่องอ่านพิกัดภาพกราฟิค (Graphics Tablet) โดยมีปากกาชนิดพิเศษสำหรับเขียนภาพ หรือถ้าเป็นการเล่นเกมก็จะมีก้านควบคุม (Joystick) สำหรับเคลื่อนตำแหน่งของการเล่นบนจอภาพ เป็นต้น
2. ประมวลผลข้อมูล (Process) เครื่องจะดำเนินการกับข้อมูลตามคำสั่งที่ได้รับมาเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ตามที่ต้องการ การประมวลผล อาจจะมีได้หลายอย่าง เช่น นำข้อมูลมาหาผลรวม นำข้อมูลมาจัดกลุ่ม นำข้อมูลมาหาค่ามากที่สุด หรือน้อยที่สุด เป็นต้น
3. แสดงผลลัพธ์ (Output) การนำผลลัพธ์จากการประมวลผลมา แสดงให้ทราบทางอุปกรณ์ที่กำหนดไว้ โดยทั่วไปจะแสดงผ่านทางจอภาพ หรือเรียกกันโดยทั่วไปว่า "จอมอนิเตอร์" (Monitor) หรือจะพิมพ์ข้อมูลออกทางกระดาษโดยใช้เครื่องพิมพ์

คอมพิวเตอร์ที่เราใช้งานกันอยู่ทุกวันนี้ ไม่ว่าจะเป็นเครื่องคอมพิวเตอร์ขนาดเล็กที่เราเรียกว่า  ไมโครคอมพิวเตอร์ (Microcomputer) ไปจนถึงคอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่ที่เราเรียกว่า เมนเฟรม (Main Frame ) หรือ คอมพิวเตอร์ยักษ์ , ซุปเปอร์คอมพิวเตอร์ (Super Computer ) ต่างก็มีส่วนประกอบที่สำคัญอยู่ 4 ส่วนใหญ่ ๆ คือ

1. ส่วนที่ทำหน้าที่รับข้อมูลและคำสั่ง เราเรียกว่า " หน่วยรับข้อมูล (Input Unit) หรือ อุปกรณ์รับข้อมูล (Input Devices) "
2. ส่วนที่ทำหน้าที่แสดงผลลัพธ์ต่าง ๆ เราเรียกว่า " หน่วยแสดงผล (Output Unit) หรือ อุปกรณ์แสดงผล (Output Devices)"
3. ส่วนที่ทำหน้าที่จัดเก็บข้อมูลและโปรแกรมต่าง ๆ ไว้สำหรับให้เราอ่านขึ้นมาใช้งานในภายหลัง เราเรียกว่า " หน่วยจัดเก็บ (Storage Unit) หรือ อุปกรณ์จัดเก็บ (Storage Devices)"
4. ส่วนที่ทำหน้าที่เป็นสมองของคอมพิวเตอร์ซึ่งประกอบด้วย หน่วยประมวลผลกลาง (Central Processing Unit : CPU) และหน่วยความจำ (Memory)

1. หน่วยรับข้อมูล (input unit)
เป็นส่วนประกอบของคอมพิวเตอร์ที่ทำหน้าที่ในการรับข้อมูลและคำสั่งต่าง ๆ เพื่อให้คอมพิวเตอร์นำไปใช้ในการทำงาน อุปกรณ์ที่ทำหน้าที่นี้ ได้แก่ แป้นพิมพ์ (Keyboard) และ เมาส์(Mouse) เป็นต้น

2. หน่วยการแสดงผล (output unit)
เป็นส่วนประกอบของคอมพิวเตอร์ที่ทำหน้าที่การแสดงผลลัพธ์ออกมาให้เราใช้งาน อุปกรณ์ที่มีหน้าที่นี้ ได้แก่ เครื่องพิมพ์ (Printer) และ จอภาพ (Monitor) เป็นต้น

3. หน่วยจัดเก็บ (Storage unit)
เป็นส่วนประกอบของคอมพิวเตอร์ที่ทำหน้าที่จัดเก็บข้อมูลและโปรแกรมต่าง ๆ สำหรับให้เครื่องคอมพิวเตอร์อ่าน ไปใช้งานในภายหลังอุปกรณ์ที่ทำหน้าที่นี้ได้แก่ เครื่องอ่าน-บันทึกแผ่นดิสก์ (Disk Drive) , ฮาร์ดดิสก์ (Harddisk) และ เครื่องอ่านแผ่นซีดี (CD-ROM Drive ) เป็นต้น

4. หน่วยประมวลผลกลาง (Central Processing Unit : CPU) 
เป็นเสมือนสมองของคอมพิวเตอร์ ทำหน้าที่ตีความหมายคำสั่งต่างๆ ที่เราสั่งไป แล้วแจกจ่ายงานและควบคุมให้อุปกรณ์ ของคอมพิวเตอร์ทำงานอย่างถูกต้อง นอกจากนี้ CPU ยังมีหน้าที่สำคัญอีกอย่างคือ เป็นหน่วยที่ทำหน้าที่คำนวณ และเปรียบเทียบค่าต่าง ๆ ให้คอมพิวเตอร์ด้วย
ในแต่ละปีจะมีการผลิต CPU รุ่นใหม่ ๆ ออกมาใช้งานกันอย่างมากมาย ตัวอย่างของ CPU รุ่นที่ได้รับความนิยมกันอย่างแพร่หลาย เช่น Celeron , Pentium , Core 2 Duo , Core 2 Quad เป็นต้น


ในการทำงานของคอมพิวเตอร์นั้น ขั้นแรกคอมพิวเตอร์จะรับเอา ข้อมูล(Data) และ คำสั่ง (Instruction) เข้าไปเก็บไว้ใน หน่วยความจำ (Memory) ก่อน จากนั้น หน่วยประมวลผลกลาง (CPU) ของคอมพิวเตอร์ก็จะนำคำสั่งที่เก็บไว้ในหน่วยความจำนี้ มาตีความหมาย แล้วแจกจ่ายงานและควบคุมให้อุปกรณ์ต่าง ๆ ทำงานตามคำสั่งเหล่านี้ไปทีละคำสั่งเพื่อประมวลผล ข้อมูล จนได้ผลลัพธ์ตามที่เราต้องการ ตัวอย่างเช่น

สมมุติว่าเราป้อนคำสั่ง ผ่านทางแป้นพิมพ์ (Keyboard) เข้าไปเก็บไว้ในหน่วยความจำของคอมพิวเตอร์ ดังรูป
A = 5
B = 6
C = A + B 

จากนั้น เมื่อเราสั่งให้คอมพิวเตอร์เริ่มทำงานตามคำสั่งคอมพิวเตอร์ CPU ก็จะนำคำสั่งแรกคือ A = 5 มาตีความหมายได้ว่า ให้จัดเตรียมพื้นที่ในหน่วยความจำไว้สัก 1 แห่ง ตั้งชื่อพื้นที่ตรงนั้นว่า A แล้วนำเลข 5 ไปเก็บไว้ในพื้นที่นั้น ดังรูป

ลำดับต่อไป CPU ก็จะนำคำสั่งที่สอง คือ B = 6 มาตีความหมายได้ว่า ให้จัดเตรียมพื้นที่ในหน่วยความจำไว้สัก  1  แห่ง  ตั้งชื่อพื้นที่ตรงนั้นว่า  B แล้วนำเลข 6 ไปเก็บไว้ในพื้นที่นั้น ดังรูป

จากนั้น เมื่อ CPU นำคำสั่งที่สาม คือ C = A + B มาตีความหมายก็จะได้ว่า  ให้นำค่าของ A (คือ 5) และ B (คือ 6) จากหน่วยความจำ ส่งไปให้ CPU ทำการบวกกันได้ผลลัพธ์เป็น  11  นำกลับลงมาเก็บไว้ในหน่วยความจำโดยชื่อพื้นที่ตรงนั้นว่า C ดังรูป

เมื่อเราดูที่เครื่อง (Case : เคส ) ของคอมพิวเตอร์ ก็จะพบว่ามีปุ่มที่สำคัญอยู่ 2 ปุ่ม ดังรูป

1.    ปุ่ม Power เป็นปุ่มที่ใช้ เปิดเครื่องคอมพิวเตอร์ และใช้ปิดเครื่องคอมพิวเตอร์ได้เช่นกัน แต่ควรจะปิดด้วยการใช้คำสั่ง Turn Off  หรือ Shut down  มากกว่า
2.    ปุ่ม Reset เป็นปุ่มที่ใช้ในการสั่งให้คอมพิวเตอร์ เริ่มต้นการทำงานใหม่อีกครั้ง เมื่อเครื่องคอมพิวเตอร์มีอาการ  Hang  ( แฮงก์ )

                การเปิดเครื่องคอมพิวเตอร์ขึ้นมาใช้งานนั้น ให้กดที่ปุ่ม Power เพื่อให้กระแสไฟเข้าไปหล่อเลี้ยงอุปกรณ์ต่าง ๆจากนั้นรอสักครู่ CPU ก็จะเริ่มทำการตรวจสอบอุปกรณ์ส่วนประกอบต่าง ๆ เช่น หน่วยความจำ (Memory) ,แป้นพิมพ์ ( Keyboard) ฮาร์ดดิสก์ (Harddisk) , เครื่องอ่าน - บันทึกแผ่นดิสก์(Disk Drive) เป็นต้น  ว่าอยู่ในสภาพพร้อมที่จะทำงานหรือไม่ หากมีอุปกรณ์ใดอยู่ในสภาพไม่พร้อมเช่น สายหลุด หลวม เครื่องก็จะรายงานเป็นข้อความออกมาให้เราทราบบนจอภาพ แต่หากทุกส่วนอยู่ในสภาพที่ปกติเครื่องก็จะอ่านโปรแกรม Dos จากในฮาร์ดดิสก์ ขึ้นมาทำหน้าที่ควบคุมและจัดการการทำงานของ CPU และอุปกรณ์ต่าง ๆ จากนั้น ก็จะแสดงเครื่องหมาย C:\ (เรียกว่าเครื่องหมาย ซี-พร๊อม (C-Prompt)   แต่ในปัจจุบันได้มีการใช้ระบบปฏิบัติการเข้ามาใช้งานที่เรียกว่า Windows  ซึ่งทำให้ระบบ  DOS  ไม่ค่อยมีบทบาทหรือนิยมใช้กัน  ซึ่งหากเราใช้ระบบปฏิบัติการ Windows เมื่อเปิดเครื่องคอมพิวเตอร์ขึ้นมาก็จะพบกับหน้าจอของ Desktop ดังรูป

หน้า Desktop โปรแกรม Windows  8

ในการปิดเครื่องอย่างถูกวิธีจำเป็นอย่างมากในการใช้งานระบบปฏิบัติการ Windows ในปัจจุบัน  เนื่องจากคอมพิวเตอร์ ที่ใช้ระบบปฏิบัติการจะต้องมีการลงโปรแกรม หรือ ซอฟต์แวร์ต่าง ๆ  มากมาย  หากปิดเครื่องคอมพิวเตอร์ไม่ถูกวิธี เช่น  กดปุ่มPower  หรือ ถอดปลั๊กไฟออกเลยนั้นจะทำให้ไฟล์โปรแกรมหรือฮาร์ดดิสก์ที่อยู่ในตัวเครื่องเกิดความเสียหาย  หรือโปรแกรมเสียได้ง่าย   ซึ่งในการปิดเครื่อง อย่างถูกวิธีคือการใช้คำสั่ง Turn Off  หรือ Shut down จาก Windows นั่นเอง

ชีวิตมนุษย์เราทุกวันนี้มีความผูกพันกับคอมพิวเตอร์ จนแทบจะไม่สามารถแยกออกจากกันได้ จนมีผู้กล่าวว่ายุคนี้เป็น “ยุคแห่งคอมพิวเตอร์” ไปแล้ว และถึงแม้ว่าคอมพิวเตอร์จะถูกประดิษฐ์ขึ้นมาเพียงไม่กี่สิบปี แต่ก็มีการพัฒนาอย่างรวดเร็วและถูกนำไปประยุกต์ใช้กับงานในด้านต่าง ๆ มากมาย ไม่ว่าจะเป็น   งานด้านธุรกิจ การแพทย์ การศึกษา การคมนาคม ศิลปะ บันเทิงและอุตสาหกรรม เป็นต้น ดังตัวอย่างต่อไปนี้

  คอมพิวเตอร์กับการศึกษา

ตามสถานศึกษาต่าง ๆ ในปัจจุบัน มักจะมีการเปิดสอนวิชาทางด้านคอมพิวเตอร์กันอย่างมากมาย เริ่มตั้งแต่ระดับประถมศึกษาหรือชั้นอนุบาลกันเลยทีเดียว ซึ่งนอกจากจะมีการเรียนคอมพิวเตอร์เป็นวิชาในหลักสูตรต่างๆ แล้วยังมีการนำคอมพิวเตอร์มาประยุกต์ใช้เพื่อประสิทธิภาพมากขึ้น ที่เราเรียกว่า  “ ระบบ CAI  (Computer Assists Instruction) ”
เนื่องจากคอมพิวเตอร์สามารถที่จะจำบทเรียน และนำออกมาแสดงในลักษณะที่มีทั้งภาพและเสียงต่าง ๆ  เพื่อเร่งเร้าให้ผู้เรียนสนใจ เนื้อหาวิชานั้น ๆ และเรียนรู้ได้อย่างสนุกสนาน ข้อดีอีกประการหนึ่งในบทเรียน เราสามารถทดสอบผลการเรียนได้โดยให้คอมพิวเตอร์ตั้งคำถาม ให้ผู้เรียนตอบ หากผู้เรียนตอบไม่ได้ คอมพิวเตอร์ก็จะอธิบายเนื้อหาในส่วนนั้นใหม่  เพื่อให้ผู้เรียนได้ศึกษาอีกครั้ง นอกจากนี้ผู้เรียนยังสามารถ เลือกเรียนบทเรียนไหนซ้ำอีกกี่ครั้งก็ได้ ในเวลาใดก็ได้ที่ผู้เรียนว่าง ซึ่งจะเป็นสิ่งที่ช่วยให้การเรียนมีประสิทธิภาพดียิ่งขึ้น

คอมพิวเตอร์กับงานธุรกิจ

ในทางธุรกิจนั้น มีการนำคอมพิวเตอร์เข้ามาช่วยทำงานในเรื่องต่าง ๆเป็นอย่างมาก ตั้งแต่การทำบัญชี การบริหารสต๊อกสินค้า และการให้บริการลูกค้าเพื่อเน้นความรวดเร็วและถูกต้อง เป็นต้น สำหรับในระดับของผู้บริหารนั้นก็มีการนำคอมพิวเตอร์มาเก็บข้อมูล และสรุปผลการทำงานในด้านต่าง ๆ เพื่อช่วยให้สามารถตัดสินใจบริหารงานทางธุรกิจได้ดียิ่งขึ้น

คอมพิวเตอร์กับอุตสาหกรรม

ปัจจุบัน คอมพิวเตอร์ได้เข้ามามีบทบาทอย่างมากในภาคอุตสาหกรรม โดยจะเห็นได้จากมีการนำเอาคอมพิวเตอร์มาใช้ในการออกแบบสินค้าต่าง ๆ ที่เราเรียกว่า “ ระบบ CAD (Computer Aided Designy) ”
เนื่องจากคอมพิวเตอร์สามารถสร้างภาพจำลองของชิ้นส่วนและตัวสินค้าเหล่านั้นออกมาได้อย่างสมจริง อีกทั้งยังสามารถกำหนด ให้ภาพนั้นหมุนหรือเคลื่อนไหวได้อย่างอิสระราวกับว่าได้ผลิตสินค้าตัวนั้นขึ้นมาแล้ว ซึ่งวิธีนี้จะช่วยให้ผู้ที่เกี่ยวข้องได้เห็นตัวอย่างของสินค้า และสามารถแก้ไขข้อบกพร่องต่าง ๆ ให้สินค้านั้นมีลักษณะที่ตรงกับความต้องการของลูกค้าก่อนที่จะเริ่มทำการผลิตจริง ๆ
ในอุตสาหกรรมผลิตรถยนต์และเครื่องจักรต่าง ๆ ของประเทศที่พัฒนาแล้ว เช่น ญี่ปุ่น และ อเมริกา นั้น มีการนำ ระบบ CAM (Computer Aided Manufacturing) ซึ่งเป็นระบบที่ใช้คอมพิวเตอร์มาควบคุมการทำงานของหุ่นยนต์อุตสาหกรรมต่าง ๆ เพื่อช่วยให้การผลิตสินค้า เป็นไปอย่างรวดเร็ว แม่นยำและคุณภาพสม่ำเสมอ รวมถึงให้หุ่นยนต์อุตสาหกรรมเหล่านี้ ทำงานแทนมนุษย์ในส่วนที่อาจเป็น อันตรายต่อสุขภาพด้วย เช่นในห้องที่มีอุณหภูมิสูงหรือมีควันพิษมากเป็นต้น

คอมพิวเตอร์กับงานธนาคาร

ในระบบธนาคาร มีการนำคอมพิวเตอร์เข้ามาจัดการงานหลัก ๆ ทั้งการรับฝาก-ถอนเงิน และทำบัญชีต่าง ๆ เพื่อให้ธนาคารสามารถ ให้บริการกับลูกค้าที่มาติดต่อได้อย่างรวดเร็วและถูกต้อง มีการนำระบบฝากถอนเงินอัตโนมัติ  (ATM)  เข้ามาใช้ เพื่อให้ความสะดวกแก่ลูกค้า  สามารถฝาก  - ถอนได้ตลอด 24 ชั่วโมง
                อีกสิ่งหนึ่งที่เป็นการเปลี่ยนแปลงอย่างเห็นได้ชัดก็คือ เมื่อนำคอมพิวเตอร์มาใช้ในระบบธนาคารแล้ว เราสามารถทำการฝาก-ถอนเงินจากสาขาอื่นทั้งในต่างจังหวัดและต่างประเทศได้ ทั้งนี้เนื่องมาจากจุดเด่นของคอมพิวเตอร์ที่สามารถจดจำ และแลกเปลี่ยนข้อมูลจำนวนมาก ๆ ได้อย่างแม่นยำและรวดเร็วนั่นเอง

คอมพิวเตอร์กับการทหาร

สงครามในยุคปัจจุบันนี้อาจเรียกได้ว่าเป็น  “สงครามอิเลคโทรนิค” ทั้งนี้เนื่องจากอาวุธต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นเครื่องบิน เรือรบ รถถัง ตลอดจนจรวดและขีปนาวุธ ล้วนแล้วแต่เป็นอาวุธที่ถูกควบคุมการทำงานด้วยระบบคอมพิวเตอร์ทั้งสิ้น   ทำให้อาวุธเหล่านี้เป็นอาวุธ ที่มีประสิทธิภาพสูงสามารถโจมตีเป้าหมายได้อย่างแม่นยำ

งานด้านวิทยาศาสตร์ อวกาศ-การบิน การสื่อสารและคมนาคม

ปัจจุบัน งานด้านวิทยาศาสตร์มีความเจริญรุดหน้าเป็นอย่างมากเนื่องจากมนุษย์เราสามารถทำการทดลองและสรุปผลในเรื่องต่าง ๆ ได้อย่างรวดเร็วโดยอาศัยเครื่องคอมพิวเตอร์เป็นตัวช่วยในการวางแผนการทดลองควบคุมการทดลองและประเมินผลได้อย่างแม่นยำและรวดเร็ว
ในด้านอวกาศและการบินนั้น ปัจจุบันเราสามารถสร้างเครื่องบินยานขนส่งและจรวดสำรวจอวกาศที่มีความสูง สามารถเดินทางออก ไปสำรวจอวกาศและดวงดาวต่าง ๆ ทั้งในและนอกระบบสุริยะจักรวาลโดยใช้คอมพิวเตอร์ควบคุมการทำงาน และส่งข้อมูลที่สำรวจได้กลับมายังโลก
ในด้านการสื่อสาร ปัจจุบันมนุษย์เราสามารถติดต่อสื่อสารถึงกันในระยะทางไกล ๆ ได้อย่างสะดวกและรวดเร็วยิ่งขึ้น โดยใช้ดาวเทียมและระบบเครือข่ายเคเบิลใยแก้วที่มีประสิทธิภาพสูง จนเกิดรูปแบบการสื่อสารใหม่ ๆ ขึ้นมากมายเช่น วิทยุสื่อสารติดตามตัว (Pager : เพจเจอร์) / โทรศัพท์เคลื่อนที่(มือถือ) / จดหมายอิเลคโทรนิค(E-mail)   และ  INTERNET  เป็นต้น
ในด้านการคมนาคม การจัดการจราจรอากาศที่นับวันจะมีเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ นั้นเป็นสิ่งสำคัญมาก เพราะเครื่องบินสามารถบินไปได้ในทุกทิศทาง ดังนั้นการควบคุมและจัดระเบียบทางการบินจึ่งต้องทำอย่างระมัดระวังและถูกต้องแม่นยำ มิฉะนั้นก็อาจเกิดอุบัติเหตุขึ้นได้โดยง่าย โดยจะมีการเชื่อมโยงคอมพิวเตอร์เข้ากับระบบเรดาร์ เพื่อให้ทราบถึงตำแหน่งของเครื่องบินต่าง ๆ และทำการนำร่องเครื่องบินแต่ละลำให้สามารถบินลงสู่สนามบินได้อย่างปลอดภัย
สำหรับการคมนาคมทางบกนั้นก็มีการนำคอมพิวเตอร์เข้ามาจัดระบบไฟจราจรให้เหมาะสมกับปริมาณรถยนต์ที่มีอยู่ในท้องถนนด้วย
ส่วนในการเดินเรือข้ามมหาสมุทรนั้น ก็มีการนำคอมพิวเตอร์เข้ามาใช้ในการคำนวณเส้นทางเพื่อให้การเดินทางเป็นไปอย่างปลอดภัย และไม่ออกนอกเส้นทาง

คอมพิวเตอร์กับงานด้านบันเทิงและภาพยนตร์

หากเราสังเกตให้ดีจะพบว่า ในระยะหลัง ๆ นี้มีการนำคอมพิวเตอร์มาช่วยงานด้านบันเทิงและการสร้างภาพยนตร์เป็นอย่างมาก ตั้งแต่การทำเทคนิคพิเศษ ควบคุมแสงสี ตลอดจนการสร้างภาพและฉากที่มนุษย์ไม่สามารถทำได้ เช่น ฉากการต่อสู้ของยานอวกาศ หรือไดโนเสาร์พันธุ์ต่างๆ ที่เคลื่อนไหวได้อย่างสมจริง   เป็นต้น ซึ่งสิ่งเหล่านี้นอกจากจะทำให้ผู้ชมได้รับความสนุกสนานแล้ว ยังก่อให้เกิดจินตนาการที่แปลกใหม่ในโลกภาพยนตร์อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน

คอมพิวเตอร์กับงานศิลปะ
งานศิลปะก็เป็นอีกงานหนึ่งที่เริ่มมีการนำคอมพิวเตอร์เข้ามาใช้มากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของการวาดภาพ ไม่ว่าจะเป็นการสร้างภาพแปลก ๆ ภาพเหมือน หรือภาพการ์ตูนต่าง ๆ คอมพิวเตอร์สามารถทำได้เป็นอย่างดี โดยจิตรกรสามารถ ที่จะนำคอมพิวเตอร์เข้ามาช่วยในการสร้างภาพต่าง ๆ ตามจินตนาการที่นึกฝันได้ และถ้าต้องการยกเลิกส่วนใดของภาพที่วาดไปแล้วก็
สามารถลบส่วนนั้นออกไปหรือเปลี่ยนแปลงสีใหม่ได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งต่างจากการวาดภาพจริงที่เมื่อลงสีไปแล้วจะลบเอาสีออกไปไม่ได้ ด้วยเหตุนี้จึงทำให้คอมพิวเตอร์เริ่มเข้ามามีบทบาทในงานด้านนี้มากขึ้นทุกที

คอมพิวเตอร์กับการแพทย์
ในโรงพยาบาลใหญ่ ๆ และโรงพยาบาลเอกชน มักจะมีการนำคอมพิวเตอร์เข้ามาเก็บระเบียนคนไข้ เพื่อบันทึกประวัติการเจ็บป่วย ตลอดจนการรักษาของแพทย์ ซึ่งการเก็บข้อมูลในลักษณะนี้จะช่วย  ให้สามารถค้นหาข้อมูลได้อย่างรวดเร็ว ถึงแม้ว่าคนไข้จะไม่ได้นำ บัตรประจำตัวมาติดต่อ ก็สามารถค้นหาประวัติการเจ็บป่วยและการรักษาได้อย่างรวดเร็วนอกจากนี้ ยังมีการนำอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่ควบคุมด้วยระบบคอมพิวเตอร์เข้ามาใช้ในการตรวจหาความผิดปกติ และรักษาอาการต่าง ๆ ของคนไข้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เช่น เครื่องตรวจสมอง และอวัยวะภายในต่าง ๆ เป็นต้น

การใช้คอมพิวเตอร์ในปัจจุบันเป็นที่นิยมแพร่หลาย  ซึ่งคอมพิวเตอร์นั้นสามารถใช้ประโยชน์ได้กับทุกวงการ   ซึ่งคอมพิวเตอร์มีส่วนประกอบที่สำคัญดังนี้

คีย์บอร์ด เป็นอุปกรณ์ที่สร้างปัญหาให้กับผู้ใช้งานใหม่เสมอ เนื่องจากผู้ใช้งานใหม่มักพิมพ์ดีดได้ไม่คล่อง ดังนั้นผู้เรียนจึงควรฝึกพิมพ์ดีดแบบสัมผัสควบคู่ไปกับการเรียนรู้คอมพิวเตอร์ด้วย โดยอาจจะเลือกฝึกพิมพ์ดีดจากโปรแกรมคอมพิวเตอร์ เช่น โปรแกรม Typing Tutor , โปรแกรมพิมพ์ไทย และโปรแกรมดวงจันทร์ เป็นต้น
สำหรับการใช้งานคีย์บอร์ดนั้น มีทั้งแบบกดปุ่มเดียว และกดหลายปุ่มพร้อมกัน ดังนั้นการใช้งานจึงได้กำหนดสัญลักษณ์ ในการแสดงการกดปุ่มไว้ดังนี้ 
กดคีย์บอร์ดปุ่มเดียว  ใช้สัญลักษณ์ <ปุ่ม> ตัวอย่างเช่น “ กดคีย์บอร์ดปุ่ม A ” จะใช้สัญลักษณ์ <A> แทน การกดคีย์บอร์ดหลายปุ่ม ใช้สัญลักษณ์ <ปุ่ม+ปุ่ม>     ตัวอย่างเช่น “ กดคีย์บอร์ดปุ่ม Ctrl ค้างไว้  แล้วกดคีย์บอร์ดปุ่ม A ” จะใช้สัญลักษณ์ <Ctrl+A> แทน

 

เมาส์เป็นอุปกรณ์ที่ใช้ชี้ และควบคุมสิ่งต่าง ๆ ในจอภาพ โดยที่มีตัวแทนของตำแหน่งที่ชี้ เรียกว่า “ตัวชี้เมาส์ (Mouse Pointer)” ซึ่งมีสัญลักษณ์ต่าง ๆ ได้มากมาย แต่ที่ผู้เรียนมักพบบ่อย มีดังนี้


 

ถึงแม้ว่าเมาส์ที่ใช้มักมีเพียง 2 ปุ่ม แต่เมาส์ก็สามารถใช้งานได้ในหลายรูปแบบ ดังนี้ 

เลื่อนเมาส์      เลื่อนเมาส์ในมือคุณ เพื่อเลื่อนตัวชี้เมาส์ในจอภาพไปยัง    ตำแหน่งต่าง ๆ ตามต้องการ


คลิก (Click)
คลิกปุ่มเมาส์ปุ่มซ้าย 1 ครั้ง

คลิกขวา (Right Click)
คลิกปุ่มเมาส์ปุ่มขวา 1 ครั้ง

ดับเบิ้ลคลิก (Double Click)
คลิก 2 ครั้ง ติดกันเร็ว ๆ


ดรากส์เมาส์ (Drag Mouse)

คลิกเมาส์ปุ่มซ้ายค้างไว้ แล้วเลื่อนตัวเมาส์ไปตำแหน่งอื่นในขณะที่ยังคงกดปุ่มเมาส์อยู่ เมื่อถึงที่หมายแล้วจึงปล่อยปุ่มเมาส์

ระบบปฏิบัติการ (Operating System หรือ OS)  เป็นซอฟต์แวร์ที่ทำหน้าที่เป็นตัวกลางระหว่างฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ประยุกต์ทั่วไป  ระบบปฏิบัติการมีหน้าที่หลัก ๆ คือ การจัดสรรทรัพยากรในเครื่องคอมพิวเตอร์ เพื่อให้บริการซอฟต์แวร์ประยุกต์ ในเรื่องการรับส่ง และจัดเก็บข้อมูลกับฮาร์ดแวร์  เช่น  การส่งข้อมูลภาพไปแสดงผลที่จอภาพ  หรือ จัดสรรพื้นที่ในหน่วยความจำ ตามที่ซอฟต์แวร์ประยุกต์ร้องขอ รวมทั้งทำหน้าที่จัดสรรเวลาการใช้หน่วยประมวลผลกลาง ในกรณีที่อนุญาตให้รันซอฟต์แวร์ประยุกต์หลายๆ ตัวพร้อมๆ กัน
ระบบปฏิบัติการ ช่วยให้ตัวซอฟต์แวร์ประยุกต์ ไม่ต้องจัดการเรื่องเหล่านั้นด้วยตนเอง เพียงแค่เรียก ใช้บริการจากระบบปฏิบัติการก็พอ ทำให้พัฒนาซอฟต์แวร์ประยุกต์ได้ง่ายขึ้น
ผู้เรียนอาจสงสัยว่าทำไมต้องใช้ระบบปฏิบัติการ คำตอบก็คือไม่ใช้ก็ได้ เพราะอันที่จริงแล้ว คอมพิวเตอร์ในสมัยแรก ๆ ก็ไม่มีระบบปฏิบัติการ แต่เนื่องจากการที่คอมพิวเตอร์ในสมัยแรก ๆ ไม่ต้องใช้ระบบปฏิบัติการ จึงทำให้ผู้สร้างโปรแกรมใช้งาน ซึ่งเป็นคนละกลุ่มกับผู้สร้างฮาร์ดแวร์ต้องทำงานหนักเพื่อศึกษาเทคโนโลยีการเขียนโปรแกรมควบคุมฮาร์ดแวร์ที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว
เพื่อให้ผู้สร้างโปรแกรมใช้งานสามารถทำงานได้ง่ายขึ้น ต่อมาจึงได้มีผู้คิดระบบปฏิบัติการ (Operating System) ขึ้นมาช่วยเป็นส่วนที่ทำหน้าที่สื่อสารและควบคุมฮาร์ดแวร์ ผู้ที่สร้างโปรแกรมใช้งานจึงเพียงแค่ศึกษาระบบปฏิบัติการ ก็สามารถเขียนโปรแกรมให้ใช้งานกับฮาร์ดแวร์รุ่นใดก็ได้ โดยไม่ต้องสนใจส่วนที่ทำหน้าที่ควบคุมฮาร์ดแวร์ โปรแกรมใช้งานในสมัยปัจจุบันจึงต้องพึ่งพาระบบปฏิบัติการเสมอ
จากการที่ฮาร์ดแวร์ , ระบบปฏิบัติการ และโปรแกรมใช้งานมีความสัมพันธ์กัน จึงจำเป็นที่จะต้องมีโปรแกรม ระบบปฏิบัติการติดตั้งไว้ในเครื่องคอมพิวเตอร์ก่อน เพื่อให้สามารถนำโปรแกรมประยุกต์ติดตั้งลงไปได้ ซึ่งระบบปฏิบัติการที่ได้รับความนิยมและเป็นเวอร์ชั่นล่าสุดสำหรับคอมพิวเตอร์ก็คือ Windows 8
ความสัมพันธ์ของโปรแกรมประยุกต์ เช่น  Excel , PowerPoint และ Word กับ Windows 8 , Hardware และผู้ใช้เป็นดังภาพด้านล่างนี้

ในอดีตการเรียนรู้คอมพิวเตอร์  จะต้องเริ่มต้นที่ ms-dos เสมอ  ซึ่ง MS-dos เองเป็นระบบ ปฏิบัติการเล็ก ๆ ตัวหนึ่งที่ทำงานได้เพียงครั้งละหนึ่งงานเท่านั้น  ( Single Task )  และทำงานแบบ  16  บิต   ( Ms -Dos Version 6.22 )  ตลอดจนการติดต่อกับผู้ใช้ยังเป็นแบบตัวอักษรล้วน ๆ 
วินโดวส์ในอดีตนั้นเป็นเพียง  Application ตัวหนึ่ง  ซึ่งต้องทำงานร่วมกับ MS-DOS  แต่วินโดวส์มีลักษณะอย่างหนึ่งที่แตกต่างจาก MS-DOS  นั่นคือรูปแบบของการแสดงผล  ซึ่งวินโดวส์นี้จะแสดงผลและติดต่อกับผู้ใช้ในรูปแบบของกราฟิก (Graphical User  Interface – GUI )  ซึ่งทำงานติดต่อกับผู้ใช้โดยใช้รูปภาพ หรือสัญลักษณ์แทนที่การใช้คำสั่งแบบตัวอักษร  เช่นใน  MS-DOS  อีกทั้งยังสามารถทำงาน ได้ครั้งละหลายๆ งานในเวลาเดียวกัน ( Multitasking )  อีกด้วย  โดยที่จะเป็นผู้ควบคุมการทำงานของ   Application อีกหลายตัว Windows  8 จะเป็นระบบปฏิบัติการที่ใช้สำหรับเครื่องทั่วไปภายในสำนักงานหรือภายในบ้าน   โดยมีการขยายขีดความสามารถทางด้านมัลติมีเดีย  การใช้อินเตอร์เน็ต  การเชื่อมต่อกับพีซีเครื่องอื่น ๆ  และได้มีการพัฒนาระบบดูแลรักษาเครื่องพีซีให้ปราศจากปัญหาการใช้งาน 

<< Go Back